วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555
กฏหมายแรงงาน
กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน หมายถึง กฎหมายที่บัญญัติถึงสิทธิและหน้าที่ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง โดยกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการใช้แรงงานและการจ่ายค่าตอบแทนในการทำงาน ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกจ้างทำงานด้านความปลอดภัย มีสุขภาพอนามัยดี ได้รับค่าตอบแทนและสวัสดิการตามสมควร
กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ เป็นกฎหมายที่กำหนดแนวทางปฏิบัติต่อกันระหว่างบุคคลสองฝ่าย คือ ฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง เพื่อให้บุคคลทั้งสองฝ่ายได้มีความเข้าใจอันดีต่อกัน สามารถตกลงในเรื่องสิทธิหน้าที่ และผลประโยชน์ในการทำงานร่วมกันได้รวมทั้งกำหนดวิธีการระงับข้อขัดแย้งหรือข้อพิพาทแรงงานที่เกิดขึ้น
ให้ยุติลงโดยรวดเร็ว ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสงบสุข ในสถานประกอบกิจการ ซึ่งจะส่งผลถึงเศรษฐกิจและความมั่นคง
ของประเทศ
กฎหมายว่าด้วยพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กฎหมายดังกล่าวคือ พระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
พ.ศ. 2534 เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานและแรงงานสัมพันธ์ในภาครัฐวิสาหกิจ
เป็นการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ซึ่งไม่น้อยกว่ามาตรฐานขั้นต่ำตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
กฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน เป็นการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำให้สถานประกอบกิจการถือปฏิบัติ เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยที่ดีปราศจากอุบัติเหตุ และโรคเนื่องจากการทำงาน
"ประกาศหรือคำสั่งของกระทรวงแรงงาน และประกาศหรือคำสั่งของกระทรวงมหาดไทย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในการทำงานที่ออกตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 ลงวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2515 ให้ยังคงใช้ได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ทั้งนี้จนกว่าจะมีกฎกระทรวง ระเบียบและประกาศ ที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ"
"พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มีสาระสำคัญดังนี้"
1. วันทำงานไม่เกินสัปดาห์ละ 6 วัน
2 . กำหนดเวลาทำงานปกติในทุกประเภทไม่เกิน 8 ชั่วโมง / วัน หรือไม่เกิน 48 ชั่วโมง / สัปดาห์
ถ้าเป็นการทำงานอันตรายต่อสุขภาพตามกฏกระทรวง กำหนดให้ทำงานไม่เกิน 7 ชั่วโมง / วัน หรือไม่เกิน 42 ชั่วโมง/สัปดาห์
3 . กำหนดเวลาพักระหว่างวันทำงาน ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง อาจตกลงพักน้อยกว่าครั้งละ 1 ชั่วโมงก็ได้ แต่รวมกันไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง / วัน
4 . กำหนดให้มีวันหยุดประจำสัปดาห์ ไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 วัน ห่างกันไม่เกิน 6 วัน และวันหยุดตามประเพณีไม่น้อยกว่าปีละ 13 วัน รวมวันแรงงานแห่งชาติด้วย สำหรับวันหยุดผักผ่อนประจำปี ไม่น้อยกว่า 6 วันทำการ เมื่อลูกจ้างทำงานครบ 1 ปี
1. อัตราค่าจ้างขั้นต่ำของจังหวัดภูเก็ตคือ 181 บาท/วัน
2. ค่าล่วงเวลา และค่าทำงานในวันหยุด
ทำเกินเวลาทำงานปกติของวันทำงาน ได้รับค่าล่วงเวลา 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้าง/ชั่วโมง
ทำงานในวันหยุดในเวลาปกติ / สำหรับวันหยุดที่ได้ค่าจ้างจะได้รับเพิ่มอีก 1 เท่า ในวันหยุดที่ไม่ได้รับค่าจ้างจะได้รับเพิ่มเป็น 2 เท่าของค่าจ้างในวันทำงาน
ทำงานล่วงเวลาในวันหยุด ได้รับค่าล่วงเวลาในวันหยุดไม่น้อยกว่า 3 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง ในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ
3. ลูกจ้างทั้งชายและหญิง มีสิทธิได้รับค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด เท่าเทียมกันในงานที่มีลักษณะและคุณภาพอย่างเดียวกันและปริมาณเท่ากัน
1. ลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง แต่ได้รับค่าจ้างไม่เกิน 30 วันทำงาน
2. ลาคลอดได้ไม่เกิน 90 วัน โดยได้รับค่าจ้าง 45 วัน
3. ลาเพื่อรับราชการทหาร ได้ไม่เกินปีละ 60 วัน โดยได้รับค่าจ้าง
4. ลาเพื่อทำหมันได้รับค่าจ้างตลอดเวลาที่แพทย์วินิจฉัยให้หยุด
5. ลากิจธุระ อันจำเป็น แล้วแต่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน
6. ลาเพื่อเข้ารับการอบรม
วันหยุด
1. วันหยุดประจำสัปดาห์ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน สำหรับลูกจ้างรายวันไม่ได้รับค่าจ้าง
2. วันหยุดตามประเพณี อย่างน้อยปีละ 13 วัน (รวมวันแรงงานแห่งชาติแล้ว) โดยได้รับค่าจ้าง
3. วันหยุดพักผ่อนประจำปี ปีละ 6 วันทำงาน โดยได้รับค่าจ้าง ซึ่งนายจ้างเป็นผู้กำหนดวันหยุดดังกล่าว
1. ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชย หากนายจ้างเลิกจ้าง โดยลูกจ้างไม่มีความผิดดังนี้
1) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 120 วันแต่ไม่ครบ 1 ปี มีสิทธิได้รับเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน
2) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 1 ปีแต่ไม่ครบ 3 ปี มีสิทธิได้รับเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน
3) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 3 ปีแต่ไม่ครบ 6 ปี มีสิทธิได้รับเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน
4) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 6 ปีแต่ไม่ครบ 10 ปี มีสิทธิได้รับเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน
5) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 10 ปีขึ้นไป มีสิทธิได้รับเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน
2. กรณีย้ายสถานประกอบการ นายจ้างต้องแจ้งให้แก่ลูกจ้างทราบล่วงหน้าไม่เกิน 30 วัน หากลูกจ้างไม่ต้องการไปทำงานด้วย ลูกจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญา โดยได้รับค่าชดเชยพิเศษ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของอัตราค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ
3. ค่าชดเชยพิเศษ ในกรณีที่นายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุปรับปรุงหน่วยงานกระบวนการผลิต
การจำหน่ายหรือการบริการ อันเนื่องมาจากการนำเครื่องจักรมาใช้หรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรหรือเทคโนโลยี
หากนายจ้าง ไม่แจ้งล่วงหน้าหรือแจ้งล่วงหน้าน้อยกว่าระยะเวลา 60 วันนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษดังนี้
1) ลูกจ้างจะได้รับค่าบอกกล่าวล่วงหน้า 60 วัน
2) ลูกจ้างจะได้รับค่าชดเชยตามกฏหมาย
3) ลูกจ้างที่มีอายุงาน 6 ปีขึ้นไป มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษปีละ 15 วัน เมื่อรวมค่าชดเชยทั้งหมดแล้วต้องไม่เกิน 360 วัน
นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(1) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
(2) จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
(3) ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
(4) ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรงนายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน
หนังสือเตือนให้มีผลบังคับใช้ได้ไม่เกินหนึ่งปี นับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด
(5) ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีสาเหตุอันสมควร
(6) ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุด เว้นแต่เป็นนักโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
1. ห้ามใช้แรงงานเด็ก อายุต่ำกว่า 15 ปีทำงานโดยเด็ดขาด
2. ห้ามใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ในกิจการบางประเภท และทำงานระหว่างเวลา 22.00 น. - 06.00 น. ทำงานวันหยุดและทำงานล่วงเวลา
3. ห้ามใช้แรงงานเด็กในสถานที่ เต้นรำ รำวง หรือรองเง็ง และตามที่กำหนดในกฏหมาย
4. ให้ลูกจ้างเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี มีสิทธิลาเพื่อรับการอบรม สัมมนา ที่จัดโดยสถานศึกษา หรือหน่วยงานของรัฐ โดยได้รับค่าจ้างแต่ไม่เกิน 30 วันต่อปี
5. การว่าจ้างแรงงานเด็กต่ำกว่า 18 ปี ต้องแจ้งพนักงานตรวจแรงงานภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่เด็กเข้าทำงาน
1. การใช้แรงงานหญิง ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างหญิงทำงานต่อไปนี้
งานเหมืองแร่หรืองานก่อสร้างที่ต้องทำใต้ดิน ใต้น้ำ ในถ้ำ ในอุโมงค์ หรือปล่องในภูเขาเว้นแต่ลักษณะของงาน ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือ ร่างกายของลูกจ้างหญิงนั้น
งานที่ต้องทำบนนั่งร้านที่สูงกว่าพื้นดินตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป
งานผลิตหรือขนส่งวัตถุระเบิดหรือวัตถุไวไฟ
งานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
2. ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างหญิงที่มีครรภ์ทำงานในระหว่างเวลา 22.00น.-06.00น. ทำงานล่วงเวลา ทำงานในวันหยุดหรือทำงานอย่างหนึ่งอย่างใด
3. ห้ามนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างหญิงเพราะเหตุมีครรภ์
4. ให้แรงงานหญิงมีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตร ครรภ์หนึ่งไม่เกิน 90 วัน
5. ห้ามนายจ้าง หัวหน้างาน ผู้ควบคุมงานหรือผู้ตรวจงาน ล่วงเกินทางเพศต่อแรงงานหญิง หรือเด็ก
1. ให้นายจ้างหรือสถานประกอบการที่มีลูกจ้างน้อยกว่า 50 คน ต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในการทำงาน ระดับพื้นฐาน ระดับหัวหน้างาน และระดับบริหาร เพื่อดูแลความปลอดภัยในการทำงานของสถานประกอบการร่วมกับนายจ้าง
2. การกำหนดให้นายจ้างหรือสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คน ขึ้นไป ต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย ในการทำงานระดับหัวหน้างาน ระดับบริหาร และระดับวิชาชีพ
3. กำหนดให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ต้องจัดให้มีคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานประกอบด้วย นายจ้าง ผู้แทนระดบับังคับบัญชา ผู้แทนลูกจ้างระดับปฏิบัติการ และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน โดยมีคณะกรรมการ ตามขนาดของสถานประกอบการ
4. การให้ความคุ้มครองอันตรายส่วนบุคคลที่เหมาะสมกับสภาพงานและได้มาตรฐานโดยให้นายจ้างเป็นผู้จัดให้ อาทิ ตามที่กำหนดในกฏกระทรวง ให้นายจ้างต้องจัดอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยสาวนบุคคลให้ลูกจ้างตามลักษณะของงาน และลูกจ้างต้องสวมใส่อุปกรณ์ดังกล่าวตลอดเวลาการทำงานโดยบังคับ
กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ เป็นกฎหมายที่กำหนดแนวทางปฏิบัติต่อกันระหว่างบุคคลสองฝ่าย คือ ฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง เพื่อให้บุคคลทั้งสองฝ่ายได้มีความเข้าใจอันดีต่อกัน สามารถตกลงในเรื่องสิทธิหน้าที่ และผลประโยชน์ในการทำงานร่วมกันได้รวมทั้งกำหนดวิธีการระงับข้อขัดแย้งหรือข้อพิพาทแรงงานที่เกิดขึ้น
ให้ยุติลงโดยรวดเร็ว ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสงบสุข ในสถานประกอบกิจการ ซึ่งจะส่งผลถึงเศรษฐกิจและความมั่นคง
ของประเทศ
กฎหมายว่าด้วยพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กฎหมายดังกล่าวคือ พระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
พ.ศ. 2534 เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานและแรงงานสัมพันธ์ในภาครัฐวิสาหกิจ
เป็นการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ซึ่งไม่น้อยกว่ามาตรฐานขั้นต่ำตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
กฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน เป็นการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำให้สถานประกอบกิจการถือปฏิบัติ เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยที่ดีปราศจากอุบัติเหตุ และโรคเนื่องจากการทำงาน
"ประกาศหรือคำสั่งของกระทรวงแรงงาน และประกาศหรือคำสั่งของกระทรวงมหาดไทย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในการทำงานที่ออกตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 ลงวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2515 ให้ยังคงใช้ได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ทั้งนี้จนกว่าจะมีกฎกระทรวง ระเบียบและประกาศ ที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ"
"พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มีสาระสำคัญดังนี้"
1. วันทำงานไม่เกินสัปดาห์ละ 6 วัน
2 . กำหนดเวลาทำงานปกติในทุกประเภทไม่เกิน 8 ชั่วโมง / วัน หรือไม่เกิน 48 ชั่วโมง / สัปดาห์
ถ้าเป็นการทำงานอันตรายต่อสุขภาพตามกฏกระทรวง กำหนดให้ทำงานไม่เกิน 7 ชั่วโมง / วัน หรือไม่เกิน 42 ชั่วโมง/สัปดาห์
3 . กำหนดเวลาพักระหว่างวันทำงาน ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง อาจตกลงพักน้อยกว่าครั้งละ 1 ชั่วโมงก็ได้ แต่รวมกันไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง / วัน
4 . กำหนดให้มีวันหยุดประจำสัปดาห์ ไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 วัน ห่างกันไม่เกิน 6 วัน และวันหยุดตามประเพณีไม่น้อยกว่าปีละ 13 วัน รวมวันแรงงานแห่งชาติด้วย สำหรับวันหยุดผักผ่อนประจำปี ไม่น้อยกว่า 6 วันทำการ เมื่อลูกจ้างทำงานครบ 1 ปี
1. อัตราค่าจ้างขั้นต่ำของจังหวัดภูเก็ตคือ 181 บาท/วัน
2. ค่าล่วงเวลา และค่าทำงานในวันหยุด
ทำเกินเวลาทำงานปกติของวันทำงาน ได้รับค่าล่วงเวลา 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้าง/ชั่วโมง
ทำงานในวันหยุดในเวลาปกติ / สำหรับวันหยุดที่ได้ค่าจ้างจะได้รับเพิ่มอีก 1 เท่า ในวันหยุดที่ไม่ได้รับค่าจ้างจะได้รับเพิ่มเป็น 2 เท่าของค่าจ้างในวันทำงาน
ทำงานล่วงเวลาในวันหยุด ได้รับค่าล่วงเวลาในวันหยุดไม่น้อยกว่า 3 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง ในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ
3. ลูกจ้างทั้งชายและหญิง มีสิทธิได้รับค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด เท่าเทียมกันในงานที่มีลักษณะและคุณภาพอย่างเดียวกันและปริมาณเท่ากัน
1. ลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง แต่ได้รับค่าจ้างไม่เกิน 30 วันทำงาน
2. ลาคลอดได้ไม่เกิน 90 วัน โดยได้รับค่าจ้าง 45 วัน
3. ลาเพื่อรับราชการทหาร ได้ไม่เกินปีละ 60 วัน โดยได้รับค่าจ้าง
4. ลาเพื่อทำหมันได้รับค่าจ้างตลอดเวลาที่แพทย์วินิจฉัยให้หยุด
5. ลากิจธุระ อันจำเป็น แล้วแต่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน
6. ลาเพื่อเข้ารับการอบรม
วันหยุด
1. วันหยุดประจำสัปดาห์ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน สำหรับลูกจ้างรายวันไม่ได้รับค่าจ้าง
2. วันหยุดตามประเพณี อย่างน้อยปีละ 13 วัน (รวมวันแรงงานแห่งชาติแล้ว) โดยได้รับค่าจ้าง
3. วันหยุดพักผ่อนประจำปี ปีละ 6 วันทำงาน โดยได้รับค่าจ้าง ซึ่งนายจ้างเป็นผู้กำหนดวันหยุดดังกล่าว
1. ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชย หากนายจ้างเลิกจ้าง โดยลูกจ้างไม่มีความผิดดังนี้
1) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 120 วันแต่ไม่ครบ 1 ปี มีสิทธิได้รับเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน
2) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 1 ปีแต่ไม่ครบ 3 ปี มีสิทธิได้รับเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน
3) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 3 ปีแต่ไม่ครบ 6 ปี มีสิทธิได้รับเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน
4) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 6 ปีแต่ไม่ครบ 10 ปี มีสิทธิได้รับเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน
5) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 10 ปีขึ้นไป มีสิทธิได้รับเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน
2. กรณีย้ายสถานประกอบการ นายจ้างต้องแจ้งให้แก่ลูกจ้างทราบล่วงหน้าไม่เกิน 30 วัน หากลูกจ้างไม่ต้องการไปทำงานด้วย ลูกจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญา โดยได้รับค่าชดเชยพิเศษ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของอัตราค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ
3. ค่าชดเชยพิเศษ ในกรณีที่นายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุปรับปรุงหน่วยงานกระบวนการผลิต
การจำหน่ายหรือการบริการ อันเนื่องมาจากการนำเครื่องจักรมาใช้หรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรหรือเทคโนโลยี
หากนายจ้าง ไม่แจ้งล่วงหน้าหรือแจ้งล่วงหน้าน้อยกว่าระยะเวลา 60 วันนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษดังนี้
1) ลูกจ้างจะได้รับค่าบอกกล่าวล่วงหน้า 60 วัน
2) ลูกจ้างจะได้รับค่าชดเชยตามกฏหมาย
3) ลูกจ้างที่มีอายุงาน 6 ปีขึ้นไป มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษปีละ 15 วัน เมื่อรวมค่าชดเชยทั้งหมดแล้วต้องไม่เกิน 360 วัน
นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(1) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
(2) จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
(3) ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
(4) ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรงนายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน
หนังสือเตือนให้มีผลบังคับใช้ได้ไม่เกินหนึ่งปี นับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด
(5) ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีสาเหตุอันสมควร
(6) ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุด เว้นแต่เป็นนักโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
1. ห้ามใช้แรงงานเด็ก อายุต่ำกว่า 15 ปีทำงานโดยเด็ดขาด
2. ห้ามใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ในกิจการบางประเภท และทำงานระหว่างเวลา 22.00 น. - 06.00 น. ทำงานวันหยุดและทำงานล่วงเวลา
3. ห้ามใช้แรงงานเด็กในสถานที่ เต้นรำ รำวง หรือรองเง็ง และตามที่กำหนดในกฏหมาย
4. ให้ลูกจ้างเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี มีสิทธิลาเพื่อรับการอบรม สัมมนา ที่จัดโดยสถานศึกษา หรือหน่วยงานของรัฐ โดยได้รับค่าจ้างแต่ไม่เกิน 30 วันต่อปี
5. การว่าจ้างแรงงานเด็กต่ำกว่า 18 ปี ต้องแจ้งพนักงานตรวจแรงงานภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่เด็กเข้าทำงาน
1. การใช้แรงงานหญิง ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างหญิงทำงานต่อไปนี้
งานเหมืองแร่หรืองานก่อสร้างที่ต้องทำใต้ดิน ใต้น้ำ ในถ้ำ ในอุโมงค์ หรือปล่องในภูเขาเว้นแต่ลักษณะของงาน ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือ ร่างกายของลูกจ้างหญิงนั้น
งานที่ต้องทำบนนั่งร้านที่สูงกว่าพื้นดินตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป
งานผลิตหรือขนส่งวัตถุระเบิดหรือวัตถุไวไฟ
งานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
2. ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างหญิงที่มีครรภ์ทำงานในระหว่างเวลา 22.00น.-06.00น. ทำงานล่วงเวลา ทำงานในวันหยุดหรือทำงานอย่างหนึ่งอย่างใด
3. ห้ามนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างหญิงเพราะเหตุมีครรภ์
4. ให้แรงงานหญิงมีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตร ครรภ์หนึ่งไม่เกิน 90 วัน
5. ห้ามนายจ้าง หัวหน้างาน ผู้ควบคุมงานหรือผู้ตรวจงาน ล่วงเกินทางเพศต่อแรงงานหญิง หรือเด็ก
1. ให้นายจ้างหรือสถานประกอบการที่มีลูกจ้างน้อยกว่า 50 คน ต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในการทำงาน ระดับพื้นฐาน ระดับหัวหน้างาน และระดับบริหาร เพื่อดูแลความปลอดภัยในการทำงานของสถานประกอบการร่วมกับนายจ้าง
2. การกำหนดให้นายจ้างหรือสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คน ขึ้นไป ต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย ในการทำงานระดับหัวหน้างาน ระดับบริหาร และระดับวิชาชีพ
3. กำหนดให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ต้องจัดให้มีคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานประกอบด้วย นายจ้าง ผู้แทนระดบับังคับบัญชา ผู้แทนลูกจ้างระดับปฏิบัติการ และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน โดยมีคณะกรรมการ ตามขนาดของสถานประกอบการ
4. การให้ความคุ้มครองอันตรายส่วนบุคคลที่เหมาะสมกับสภาพงานและได้มาตรฐานโดยให้นายจ้างเป็นผู้จัดให้ อาทิ ตามที่กำหนดในกฏกระทรวง ให้นายจ้างต้องจัดอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยสาวนบุคคลให้ลูกจ้างตามลักษณะของงาน และลูกจ้างต้องสวมใส่อุปกรณ์ดังกล่าวตลอดเวลาการทำงานโดยบังคับ
พื้นที่เสี่ยงภัยโรงแรมแกรนปาร์ค
วันนี้(8 มี.ค.) ร.ต.อ.ธีร์ทัศน์ พงษ์โรจน์ พงส.( สบ 1 ) สน.ทองหล่อ รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ โรงแรมแกรนด์ พาร์ค อเวนิว โรงแรมหรูภายในซอยสุขุมวิท 22 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา รีบประสานรถน้ำดับเพลิง 10 คัน รถกระเช้า 2 คัน จากหน่วยบรรเทาสาธารณภัยกทม. ก่อนรุดไปตรวจสอบพร้อม พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผบช.น. พ.ต.อ.รัฐศักดิ์ รักสลาม ผกก. สน.ทองหล่อ พ.ต.ท.กิตติวัชร์ ภูมิธเนศ สว.สส. แพทย์นิติเวช รพ.จุฬา และกองพิสูจน์หลักฐาน
ที่เกิดเหตุเป็นโรงแรมหรูสูง 15 ชั้น อยู่ในซอยแคบเจ้าหน้าที่ต้องลากสายเข้าไปฉีดน้ำด้วยความทุลักทุเล บรรดาแขกที่มาพัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ต่างวิ่งหนีตายขึ้นไปอยู่ชั้น 15 ซึ่งเป็นชั้นดาดฟ้าอย่างอลหม่าน เบื้องต้นพบแสงเพลิงและกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากบริเวณชั้น 4 ของโรงแรมดังกล่าว ซึ่งเป็นห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ และลุกลามขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จึงแบ่งชุดการทำงานออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งรีบฉีดน้ำสกัดเปลวเพลิงอย่างเร่งด่วน โดยใช้เวลา 20 นาที จึงควบคุมเปลวเพลิงเอาไว้ได้ ขณะที่อีกส่วนหนึ่งนำรถกระเช้า ขึ้นไปช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่บนโรมแรม ก่อนสามารถลำเลียงผู้ที่ติดอยู่บนชั้น 15 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติลงมาได้อย่างปลอดภัย มีผู้สำลักควัน 3 คน ขณะนี้นำส่ง รพ.ใกล้เคียงทำการรักษาเป็นการด่วน
พล.ต.ต.อนุชัย กล่าวว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ต้นเพลิงเกิดขึ้นที่ชั้น 4 ของโรงแรม ซึ่งเป็นห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ แต่ในช่วงเกิดเหตุไม่มีการใช้งานแต่อย่างใด ระหว่างนั้นได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น ก่อนจะมีควันไฟพวยพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นควันไฟจึงลุกลามไปยังชั้นต่างๆของโรงแรมอย่างรวดเร็ว ทำให้เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องทุบกระจกห้องบางส่วน เพื่อระบายควันไฟ ป้องกันผู้ที่ติดอยู่ภายในสำลักควัน ทั้งนี้ภายหลังเพลิงสงบลง ได้ทำการตรวจสอบขั้นต้นพบว่า มีชายชาวต่างชาติ 1 คน และหญิงชาวต่างชาติ 1 คน รวม 2 คน อาการโคม่า อยู่ที่บริเวณชั้น 7 ของโรงแรม อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นของทั้งสอง
ต่อมา พญ.มาลินี สุขเวชชบรกุล รองผู้ว่าฯกทม. พร้อมผู้เกี่ยวข้อง ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ บริเวณชั้น 4 ของโรงแรม ก่อนกล่าวภายหลังการตรวจสอบว่า ต้นเพลิงอยู่ที่ชั้น 4 จากการตรวจสอบทั้งหมดไม่พบว่ามีอุปกรณ์เตาแก๊ส มีเพียงระบบไฟฟ้า จึงคาดว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร จนเพลิงลุกไหม้มาติดพรมห้อง ทำให้เกิดกลุ่มควันจำนวนมาก จึงส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวที่พักในโรงแรม 135 ห้อง ทำให้มีผู้บาดเจ็บจากการสำลักควันไฟ 24 คน เป็นชาวต่างชาติทั้งหมด ในจำนวนนี้เจ็บสาหัส 2 คน เกิดจากการสำลักควันไฟจนหมดสติ ทำให้ระบบการทำงานของหัวใจล้มเหลว ขณะนี้นำส่ง รพ.กล้วยน้ำไท โดยต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ ต้องรอให้แพทย์ยืนยันอีกครั้ง ว่าเสียชีวิตหรือไม่
พญ.มาลินี กล่าวต่อว่า ล่าสุดได้เรียกประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นควรให้มีการปิดห้ามใช้และเข้า-ออกอาคารทันที โดยคาดว่าผู้อำนวยการเขตเจ้าของพื้นที่ จะออกประกาศในวันที่ 9 มี.ค. นี้ พร้อมทั้งจะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งสำนักงานเขต สำนักการโยธา กทม. กองพิสูจน์หลักฐาน และวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย เข้าตรวจสอบโครงสร้างอาคารว่าปลอดภัยหรือไม่ ในวันเดียวกัน หากมีปัญหาก็ต้องเร่งดำเนินการปรับปรุงด้านโครงสร้าง ทั้งนี้ผู้จัดการอาคารชี้แจงว่า เป็นอาคารใหม่เพิ่งเปิดใช้งาน 5 ปี ก่อสร้างหลังปี 2535 จึงระบบป้องกันเพลิงเบื้องต้นคือระบบสปริงเกลอร์ แตกต่างจากอาคารฟิโก้ ที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ไปก่อนหน้านี้ แต่ต้องให้ทางสำนักงานเขต เร่งตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับนักท่องเที่ยวที่พักอยู่ในโรมแรมดังกล่าว ขณะนี้ทางโรงแรมได้ทยอยส่งไปพักที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนปาร์ค ซึ่งอยู่ใกล้กันแล้ว เนื่องจากโรงแรมที่เพลิงไหม้ ต้องรอกองพิสูจน์หลักฐาน เข้าตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป.
ที่เกิดเหตุเป็นโรงแรมหรูสูง 15 ชั้น อยู่ในซอยแคบเจ้าหน้าที่ต้องลากสายเข้าไปฉีดน้ำด้วยความทุลักทุเล บรรดาแขกที่มาพัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ต่างวิ่งหนีตายขึ้นไปอยู่ชั้น 15 ซึ่งเป็นชั้นดาดฟ้าอย่างอลหม่าน เบื้องต้นพบแสงเพลิงและกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากบริเวณชั้น 4 ของโรงแรมดังกล่าว ซึ่งเป็นห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ และลุกลามขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จึงแบ่งชุดการทำงานออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งรีบฉีดน้ำสกัดเปลวเพลิงอย่างเร่งด่วน โดยใช้เวลา 20 นาที จึงควบคุมเปลวเพลิงเอาไว้ได้ ขณะที่อีกส่วนหนึ่งนำรถกระเช้า ขึ้นไปช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่บนโรมแรม ก่อนสามารถลำเลียงผู้ที่ติดอยู่บนชั้น 15 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติลงมาได้อย่างปลอดภัย มีผู้สำลักควัน 3 คน ขณะนี้นำส่ง รพ.ใกล้เคียงทำการรักษาเป็นการด่วน
พล.ต.ต.อนุชัย กล่าวว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ต้นเพลิงเกิดขึ้นที่ชั้น 4 ของโรงแรม ซึ่งเป็นห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ แต่ในช่วงเกิดเหตุไม่มีการใช้งานแต่อย่างใด ระหว่างนั้นได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น ก่อนจะมีควันไฟพวยพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นควันไฟจึงลุกลามไปยังชั้นต่างๆของโรงแรมอย่างรวดเร็ว ทำให้เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องทุบกระจกห้องบางส่วน เพื่อระบายควันไฟ ป้องกันผู้ที่ติดอยู่ภายในสำลักควัน ทั้งนี้ภายหลังเพลิงสงบลง ได้ทำการตรวจสอบขั้นต้นพบว่า มีชายชาวต่างชาติ 1 คน และหญิงชาวต่างชาติ 1 คน รวม 2 คน อาการโคม่า อยู่ที่บริเวณชั้น 7 ของโรงแรม อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นของทั้งสอง
ต่อมา พญ.มาลินี สุขเวชชบรกุล รองผู้ว่าฯกทม. พร้อมผู้เกี่ยวข้อง ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ บริเวณชั้น 4 ของโรงแรม ก่อนกล่าวภายหลังการตรวจสอบว่า ต้นเพลิงอยู่ที่ชั้น 4 จากการตรวจสอบทั้งหมดไม่พบว่ามีอุปกรณ์เตาแก๊ส มีเพียงระบบไฟฟ้า จึงคาดว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร จนเพลิงลุกไหม้มาติดพรมห้อง ทำให้เกิดกลุ่มควันจำนวนมาก จึงส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวที่พักในโรงแรม 135 ห้อง ทำให้มีผู้บาดเจ็บจากการสำลักควันไฟ 24 คน เป็นชาวต่างชาติทั้งหมด ในจำนวนนี้เจ็บสาหัส 2 คน เกิดจากการสำลักควันไฟจนหมดสติ ทำให้ระบบการทำงานของหัวใจล้มเหลว ขณะนี้นำส่ง รพ.กล้วยน้ำไท โดยต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ ต้องรอให้แพทย์ยืนยันอีกครั้ง ว่าเสียชีวิตหรือไม่
พญ.มาลินี กล่าวต่อว่า ล่าสุดได้เรียกประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นควรให้มีการปิดห้ามใช้และเข้า-ออกอาคารทันที โดยคาดว่าผู้อำนวยการเขตเจ้าของพื้นที่ จะออกประกาศในวันที่ 9 มี.ค. นี้ พร้อมทั้งจะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งสำนักงานเขต สำนักการโยธา กทม. กองพิสูจน์หลักฐาน และวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย เข้าตรวจสอบโครงสร้างอาคารว่าปลอดภัยหรือไม่ ในวันเดียวกัน หากมีปัญหาก็ต้องเร่งดำเนินการปรับปรุงด้านโครงสร้าง ทั้งนี้ผู้จัดการอาคารชี้แจงว่า เป็นอาคารใหม่เพิ่งเปิดใช้งาน 5 ปี ก่อสร้างหลังปี 2535 จึงระบบป้องกันเพลิงเบื้องต้นคือระบบสปริงเกลอร์ แตกต่างจากอาคารฟิโก้ ที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ไปก่อนหน้านี้ แต่ต้องให้ทางสำนักงานเขต เร่งตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับนักท่องเที่ยวที่พักอยู่ในโรมแรมดังกล่าว ขณะนี้ทางโรงแรมได้ทยอยส่งไปพักที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนปาร์ค ซึ่งอยู่ใกล้กันแล้ว เนื่องจากโรงแรมที่เพลิงไหม้ ต้องรอกองพิสูจน์หลักฐาน เข้าตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)